ความรู้

Contrast Sensor แตกต่างจาก Color sensor อย่างไร

Contrast Sensor แตกต่างจาก Color sensor อย่างไร

ในการเช็คสีบนผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรม เรามักจะเจอเซนเซอร์ 2 แบบ คือ คอนทราสเซนเซอร์ (Contrast sensor) และ เซนเซอร์สี (Color sensor) เคยสงสัยกันมั้ยว่ามีหลักในการเลือกใช้ต่างกันอย่างไร และแต่ละแบบเหมาะสมกับงานประเภทไหน อย่างที่ทราบกัน คือ คอนทราสเซนเซอร์จะมีราคาที่ย่อมเยาว์กว่าเซนเซอร์สี แต่ก็ไม่สามารถนำมาใช้งานทดแทนเซนเซอร์สีได้อย่าง 100% ดังนั้น วันนี้เราจะมาทำความรู้จักเซนเซอร์ทั้งสองแบบกัน

คอนทราสเซนเซอร์ (Contrast sensor)

จะใช้หลักการของแสงตรวจจับความแตกต่างระหว่างสองสี โดยติดตั้งแบบตัวรับตัวส่งในตัว ซึ่งจะใช้ค่า gray values เป็นค่าในการจำแนกวัตถุ โดยไล่เฉดจากสีอ่อนที่สุดไปจนถึงสีเข้มที่สุด เมื่อค่าของสีเป้าหมายกับสีของพื้นหลังแตกต่างกันจะส่ง output ออกมา มีความเร็วในการทำงาน (Response times) สูงถึง 100 µs  และความถี่ในการตรวจเช็ค (Switching frequency) สูงถึง 20kHz

คอนทราสเซนเซอร์จึงเหมาะกับงานที่ต้องการตรวจเช็คด้วยความเร็วสูง ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก แต่มีข้อควรระวังว่าสีของวัตถุ, แสงสว่างหน้างานและความเงาของวัตถุมีผลต่อความแม่นยำของการวัดอย่างเป็นอย่างมาก

ภาพแสดง : ค่า gray values

ตัวอย่างการนำไปใช้

  • เช็คมาร์กบน label ในเครื่องจักรงานพิมพ์ฉลากสินค้า เพื่อ Trigger สั่งตัด หรือ พับชิ้นงาน
  • เช็คตำแหน่งหยอดกาวในเครื่องจักรห่อสินค้า ก่อนจะนำมา wrap ห่อสินค้า
  • เช็คตำแหน่งของบาร์โคดบนผลิตภัณฑ์ ในโรงงานยา, โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ หรือโรงงานอาหาร
  • เช็คว่ามีหรือไม่มีการ seals พลาสติกปิดฝาขวดน้ำ
ภาพแสดง : การใช้งาน Contrast sensor ตรวจสอบบาร์โคดบนผลิตภัณฑ์

เซนเซอร์สี (Color sensor)

เซนเซอร์ประเภทนี้ ใช้หลักการของแสงตรวจจับติดตั้งแบบตัวรับตัวส่งในตัวเดียว ภายในเป็นเทคโนโลยี RGB (Red-แดง, Green-เขียว และ Blue-น้ำเงิน) ซึ่งเป็นแม่สีของแสงช่วยแยกความแตกต่างได้หลากหลายเฉดสี โดยเราจะเห็นเซนเซอร์ปล่อยแสงออกมาเป็นสีแดง, สีเขียว, หรือสีน้ำเงิน เพื่อวิเคราะห์สีเป้าหมายและแยกความแตกต่างระหว่างสีเป้าหมายกับพื้นหลังให้เหมาะสมที่สุด ทางผู้ใช้งานสามารสอนให้เซนเซอร์รู้จักสีและจดจำค่าที่ค้องการเก็บไว้ได้ด้วย

ในส่วนของความเร็วในการทำงาน (Response times) โดยทั่วไปอยู่ที่ 300 ms  และความถี่ในการตรวจเช็ค (Switching frequency) โดยทั่วไปอยู่ที่ 500 Hz  ด้วยเหตุนี้ เซนเซอร์สีจึงเหมาะกับงานที่มีความเร็วไลน์ผลิตไม่เร็วมากเพราะต้องการตรวจเช็คความละเอียดเพื่อแยกความแตกต่างของสีให้เหมาะสมที่สุด

ตัวอย่างการนำไปใช้

  • เช็คแยกสีของฝาขวดน้ำ
  • เช็คตำแหน่งของฉลากสินค้าที่มีสีสันหลากหลาย
  • เช็คความแตกต่างของเฉดสีในงานสื่อสิ่งพิมพ์
ภาพแสดง : การใช้งาน Color sensor ตรวจสอบตำแหน่งของฉลากสินค้า

บทสรุป

            จากบทความข้างต้น หวังว่าจะเป็นอีกแนวทางในการเลือกเซนเซอร์ให้เหมาะสมกับหน้างาน และไม่เกินงบประมาณในการออกแบบและใช้งาน

นอกจากนี้เรายังต้องคำนึงถึงราคาและยี่ห้อของสินค้า ซึ่งจะการันตีถึงประสิทธิภาพอุปกรณ์และการรับประกันหลังการขายที่เชื่อถือได้ ทางเจดับบลิวเทคเอง ขออนุญาตแนะนำเซนเซอร์ยี่ห้อ BALLUFF ไว้เป็นอีกหนึ่งทาง เลือกในการใช้งาน

สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ admin_sensor@jwtech.co.th, info@jwtech.co.th โทร. 02-733-7703